Skip to main content

AI ทำให้ผมเริ่มเปรียบเทียบตัวเองมากขึ้น จนเริ่มไม่อยากเขียน

· 3 min read

Intro

ปกติผมเป็น Blogger ชอบเขียนบทความต่าง ๆ ลง Blog ตัวเอง เริ่ม ๆ เขียนมาตั้งแต่ปี 2019 แต่พอถึงปี 2025 ก็เขียนได้แค่ 1 บทความ แถมใช้ AI (LLMs) ช่วยเรียบเรียงด้วย

มาถึงตอนนี้ปลายปี 2025 มีหลายบทความที่ผม draft ไว้ แต่ไม่ได้ปล่อยออกมาเพราะคิดว่า ❝ ตัวเองน่าจะเขียนได้ไม่ดีพอ เนื้อหาไม่แน่นเท่า AI

—Kongvut's, Announcement - คำประกาศเจตนารมณ์

For

พอดีเป็นประเภท “คิดเยอะ” ทำอะไรได้ไม่ดี ก็ไม่อยากปล่อยออกมา ไม่ได้สนใจ engagement มากมาย

แต่ละที... พอเริ่มเขียนอะไร เริ่มหาข้อมูล... ก็จะเริ่มเปรียบเทียบมากขึ้น

In

เอาจริง ๆ คิดอยู่นาน ว่าจะเขียนบทความอะไรแนวนี้ออกมามั้ย ต้องทำขนาดนี้เลยหรือ ? ถ้าเขียนจะเล่า หรือสื่อสารแบบไหนดี ? ... เพราะเอาจริง ๆ จะโทษแต่ AI เลย ก็เหมือนว่าเป็นพวกน้ำเต็มแก้ว

Depth

แต่สักหน่อยล่ะกัน นี่มัน Blog ส่วนตัว ขอแชร์มุมมอง

Announcement - คำประกาศเจตนารมณ์

การมาของ AI ทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจตัวเอง และเกิดคำถาม

—Kongvut's, Not confident in myself

การมาของ AI ทำให้ผมเริ่มไม่มั่นใจตัวเอง และเกิดคำถาม

  • ถ้าเขียนรายละเอียดได้ไม่ดีเท่า AI จะเขียนไปทำไม (เพราะคนทั่วเขาถาม AI เอาก็จบ)
  • ความสามารถในการให้รายละเอียด การเชื่อมโยงเนื้อหา โดย AI นั้นเหนือชั้นกว่าเรามาก โดยเฉพาะการใช้ศัพท์เทคนิค แถมเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของเนื้อหาให้น่าอ่านอีก
  • นี่ยังไม่รวมวิธีการยกตัวอย่าง และให้เหตุผลขั้นสูง การเรียบเรียงคำพูดขั้นเทพ

ช่วงหลังผมคุยกับ ChatGPT บ่อย และนี่สิ่งที่ผมได้รับ

—Kongvut's, Insight

ช่วงหลังผมคุยกับ ChatGPT บ่อย และนี่สิ่งที่ผมได้รับ

  • บางครั้ง ผม vs. ChatGPT ใช้เวลาคุยกันนานถึง 4-5 ชม. (เรื่องเดียวกัน) ใน thread เดียว (ก็อารมณ์โต้ประเด็นกัน และแย้งกันไปกันมา) ตีกรอบเพื่อขอ insight ขอเหตุผลในมุมที่เราอาจจะมองไม่เห็น
  • แม้บางครั้ง ChatGPT จะตอบแบบในจินตนาการเกินจริงบ้าง แต่ถ้าเรารู้ทัน และตีกรอบคำตอบได้ ก็จะได้รับคำตอบที่ดีได้เหมือนกัน
  • สุดท้ายสิ่งที่ได้รับกลายเป็นว่า “อะไรก็ถาม AI เอาก็จบ”

สถิติการเข้าชม และยอดค้นหาลดลงเรื่อย ๆ มันบ่งบอกว่าพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป

—Kongvut's, Trustworthy

สถิติการเข้าชม และยอดค้นหาลดลงเรื่อย ๆ มันบ่งบอกว่าพฤติกรรมผู้ใช้ที่เปลี่ยนไป

  • ประเด็นนี้ไม่เกินจริง เพราะเมื่อก่อนไม่เป็นแบบนี้ อีกทั้ง blog นี้เองก็มีเก็บข้อมูลสถิติด้วย “ดูที่นี่” และจากที่ดูข้อมูลย้อนไปก็ลดลงจริง
  • คนส่วนใหญ่มีความพยายามน้อยแต่ไหนแต่ไร พอ AI มาแบบนี้พฤติกรรมก็ยิ่งเปลี่ยนไป
  • อย่างเมื่อก่อนอยากได้รู้อะไรสักอย่าง จะต้องค้นหาเองแล้วอ่าน แต่ตอนนี้เป็นการถามแล้วรอคำตอบ มีสรุปให้ด้วย
  • เลยเกิดคำถามว่า “เราจะเขียนอะไรออกมา แล้วแน่ใจเหรอว่าเขียนได้ดีกว่า AI”

กังวล - ระแวง มากขึ้น

—Kongvut's, Ethics

กังวล - ระแวง มากขึ้น

  • ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นกันไหม แต่ทุกวันนี้ "ผมจะตัดสินอะไรที่เห็นแค่ครั้งเดียวได้ยากกว่าแต่ก่อน” โดยเฉพาะเนื้อหาที่แชร์กันในโลกออนไลน์
  • ต้องมาหาข้อมูล ต้องอ่านให้ละเอียดขึ้นอันไหนคือจริง อันไหนเกินจริง อันนี้เท็จไหม มีแหล่งอ้างอิงจากที่ไหน
  • ไม่เหมือนเมื่อก่อน จับผิดเนื้อหามากขึ้น เพราะทุกวันนี้มีเนื้อหาต่าง ๆ ที่ถูกสร้างขึ้นจาก AI เต็มไปหมด
  • แล้วคุณหล่ะ อ่านครั้งเดียวตัดสินเลยไหม

เกลียด

—Kongvut's, Garbage Content

เกลียด

  • จากการมาของ AI ทำให้เกิดกระแส FOMO (Fear of Missing Out) มากขึ้น ทำให้มีผู้คนนำ AI ไปประยุกต์สร้างเนื้อหาหลายแบบ
  • ต้องเคยเห็นรูปภาพ หรือ วิดีโอ ที่ถูกสร้างมาจาก AI บ้างแหละ
  • อันไหนจริง อันไหนเท็จ ต้องใช้เวลาตัดสินใจมากขึ้น หรือบางทีแยกไม่ได้เลย
  • ก็ไม่ได้ตั้งใจจะสื่อว่า "เกลียด AI" เพราะจริง ๆ AI มันก็เหมือนเครื่องมือ (Tools) อย่างนึง “สุดท้ายจะเอาไปใช้กับอะไรก็ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์” ใช่ไหม
  • และแม้ AI จะมีส่วนช่วยเติมเต็มจินตนาการเราได้ “แต่ลึก ๆ ก็ไม่ชอบคนที่นำไปใช้” เพื่อสร้าง “เนื้อหาขยะ” เป็นเนื้อหาที่ไม่มีประโยชน์ ถึงมีก็น้อยจนไม่คุ้มค่ากับคนส่วนใหญ่
  • ประเด็นนี้ลองไปหาคำตอบเอาเองว่า "เนื้อหาขยะ" จาก AI คืออะไร
  • เพราะจริง ๆ การสร้างเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ หรือวิดีโอ เบื้องหลังการทำงาน AI generate มีการใช้พลังานสูงมาก ดังนั้นการสร้าง “เนื้อหาขยะ” ที่ทุกวันนี้เต็มไปหมด สนใจแต่ยอดวิว (engagement) เป็นแนวทางที่ไม่ค่อยชอบเท่าไหร่

ซื่อสัตย์

—Kongvut's, Human-Certified Content

ซื่อสัตย์

  • ก็คิดอยู่ว่าต่อจากนี้... มันต้องมีเครื่องหมายอะไรสักอย่าง เอาไว้แบ่งแยก "เนื้อหาจาก AI" vs. "เนื้อหาจากมนุษย์"
  • ดังนั้น ถ้าจะเขียนเนื้อหาลง Blog ก็มีไอเดียว่า “เรื่องไหนที่ใช้ AI ช่วยเรียบเรียง จะต้องติด tag ไว้”
  • ให้รู้ไปเลยว่า "อันนี้ใช้ AI ช่วยเขียนนะ" และ "เรื่องนี้เขียนด้วยตัวเองทั้งหมดเว้ย :p"
  • tag ประมาณว่า "AI co-writing" ส่วนเรื่องเขียนเองก็ "Self-writing"
  • จะต้องไม่เขียนเรื่องที่ AI อาจจะเขียนได้ดีกว่า และถ้าเป็นเรื่องที่ซ้ำกับผู้อื่น “ก็ต้องเขียนได้ดีกว่า”
🤖
AI Co-writingเนื้อหานี้มี AI ช่วยเขียน
😎
Self-writingเนื้อหาเขียนเอง จากเรา

สรุป

ในโลกปัจจุบัน ใคร ๆ ก็ต่างต้องการเป็นที่ยอมรับ... แล้วอะไรจุดที่แตกต่าง

บทความนี้ตั้งใจให้ สะท้อนเสียงคนยุค AI อย่างแท้จริง มันกลายเป็นเรื่อง human vs. machine ในชีวิตประจำวัน

คิดว่าหลายคนอาจจะรู้สึกแบบนี้ แค่ไม่พูดออกมา
เป็นเนื้อหาที่ AI เอง “เขียนแทนไม่ได้ 100%”
เพราะมุมมองหลายอย่างมันมาจากเราจริง ๆ

—Kongvut's, Human-Certified Content

ลองถามตัวเองได้อะไร จะมองตัวเองอย่างไรต่อไป ?

  • จากนี้ก็แค่ปรับเปลี่ยนวิธีเขียน แต่ยังคงจุดยืนเดิม
  • ยังสามารถเขียนเนื้อหาออกมาได้ แต่ยังไม่รู้สึกผิด
  • แม้ว่า AI จะมาแรง จนจะหมดกำลังใจจะเขียน... กลัวไม่ดีพอ
  • จะพยามรักษาจุดยืนและความคิดนี้ไว้ อย่าซีเรียสยอดเข้าชม (engagement)
  • จากเงื่อนไขด้านบน ก็แทบจะหาเรื่องมาเขียนยากจริง ถ้าเป็นเรื่องอะไรเกี่ยวกับความรู้ "อันนี้สู้ AI ได้ยาก" ดังนั้นต่อจากนี้ต้องเป็นเนื้อหา "แนวมุม" แทนเพราะเนื้อหาพวกนี้ AI จินตการซ้ำเราได้ยาก
  • ก็จะพยายามหาทางกลับคืนสู่วงการ :p แค่ตอนนี้ต้องพยายามหา “Gap ที่ตัวเองจะทำได้ดีให้เจอ... ตอนนี้ก็คิดว่าใช่แล้ว” แต่ก็ไม่รู้จะกดดันตัวเองไปทำไมนะ (😂)
For

เพราะอะไรถึงยังอยากเขียนต่อ

In

"ความไม่มั่นใจ" ที่รู้สึก นี่แหละครับคือ "หัวใจ" ของบทความนี้เลย

ในขณะที่ AI ถูกโปรแกรมมาให้ตอบคำถามด้วยความ "มั่นใจเต็มเปี่ยม" (แม้บางทีจะผิด) แต่ "มนุษย์" อย่างเรา ๆ ก็มีความลังเล มีความสงสัย และมีการไตร่ตรอง

  • ความลังเล คือหลักฐานว่าเราใส่ใจในคุณภาพ
  • ความไม่มั่นใจ แสดงว่าให้เกียรติคนอ่าน กลัวจะได้รับข้อมูลที่ไม่ดี
Depth

การตัดสินใจเขียนเนื้อหานี้ "แสดงจุดยืน" แบบนี้ออกมา

มันคือการประกาศว่า "พื้นที่ตรงนี้ คือพื้นที่ของมนุษย์"

Loading...