34 ปีที่แล้ว บทเรียนจากเด็กหนุ่มวัย 21 จากความขาดแคลน "Linus Torvalds" ผู้เปลี่ยนโลกด้วย Linux
Table of contents
Intro

ข้อความจากอีเมลประวัติศาสตร์ที่ Linus โพสต์เมื่อ 25 สิงหาคม 1991 [3]
❝ ผมกำลังทำระบบปฏิบัติการ (ฟรี) (แค่เป็นงานอดิเรก คงไม่ใหญ่โตหรือเป็นมืออาชีพเหมือน GNU) สำหรับเครื่อง 386(486) AT clones... ❞
—Linus, 25 สิงหาคม 1991
บทความพิเศษ
ส่วนตัวชอบ Linux และ ชอบ Linus (แต่ไม่ถึงขั้น FC) บทความนี้ตั้งใจ เรียบเรียงเพื่อนำเสนอหลายมุมมอง
หากเราย้อนเวลากลับไปเมื่อ 34 ปีที่แล้ว (ค.ศ. 1991) ไม่มีใครคาดคิดว่า "โปรเจกต์งานอดิเรก" ของนักศึกษามหาวิทยาลัยคนหนึ่ง จะกลายมาเป็นรากฐานสำคัญของเทคโนโลยีแทบทุกอย่างในโลกปัจจุบัน
เรื่องราวของ Linus Torvalds คือเครื่องพิสูจน์ชั้นดีของคำกล่าวที่ว่า "ความจำเป็นก่อให้เกิดการคิดค้น" (Necessity is the mother of invention) หรือถ้าพูดให้ตรงกว่านั้นคือ "ความขาดแคลน ทำให้มนุษย์ต้องเก่งขึ้น"
จุดเริ่มต้นจาก "ความไม่มี"
ในขณะนั้น Linus เป็นเพียงนักศึกษาวิทยาการคอมพิวเตอร์วัย 21 ปี ณ มหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เขาต้องการระบบปฏิบัติการ (OS) ดีๆ ไว้ใช้กับคอมพิวเตอร์ส่วนตัว Intel 386 (สเปก CPU 33 MHz, RAM 4 MB) ที่เขาต้อง "ผ่อนจ่าย" เลือดตาแทบกระเด็น [7] แต่ปัญหาก็คือ:
- UNIX ระบบปฏิบัติการระดับเทพในยุคนั้น มีราคาแพงมหาศาล ราคาเริ่มต้นที่ราวๆ 5,000 เหรียญสหรัฐฯ (ค่าเงินยุคนั้นมหาศาลมาก) ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับนักศึกษา
- MINIX (ทางเลือกราคาถูก) เวอร์ชันเพื่อการศึกษาที่มีอยู่ ก็มีข้อจำกัดทางลิขสิทธิ์และฟีเจอร์มากมาย [1]
นี่คือทางตันที่คนส่วนใหญ่คงยอมแพ้... ไม่มีเงินก็จบ ทนใช้ของห่วยๆ ไป
แต่สำหรับ Linus ความขาดแคลนนี้คือ "แรงผลักดัน"
เมื่อ "ไม่มีเงินซื้อ" และ "ของที่มีก็ไม่ตอบโจทย์" ทางเลือกของคนที่มีทรัพยากรจำกัดจึงเหลือเพียงทางเดียว: "สร้างมันขึ้นมาเอง"
Linus เริ่มเขียนโค้ดด้วยความมุ่งมั่น ผลลัพธ์คือ Source Code ประมาณ 10,000 บรรทัด (Linux Kernel เวอร์ชัน 0.01) [2] ที่เขาตัดสินใจประกาศลงในกลุ่มข่าว (Newsgroup) และปล่อยให้คนทั้งโลกใช้ฟรีๆ
2. เริ่มจากสิ่งเล็ก ๆ
Linus ไม่ได้เริ่มจากการคิดจะสร้าง OS ระดับโลก เขาเริ่มจาก Terminal Emulator (โปรแกรมเชื่อมต่อเซิร์ฟเวอร์) เล็กๆ เพื่อใช้เอง
เขาเขียนโค้ดด้วยภาษา Assembly (ภาษาเครื่องที่ยากและซับซ้อน) เพื่อรีดประสิทธิภาพฮาร์ดแวร์ทุกหยด เพราะคอมพิวเตอร์เขาไม่แรงพอที่จะรันโค้ดไม่จำเป็น เขาจึงต้องเข้าใจการทำงานของ CPU ทุกคำสั่ง ทุกรีจิสเตอร์
"ผมไม่มีเครื่องมือหรูหรา ผมมีแค่คู่มือสเปกฮาร์ดแวร์ และความดื้อรั้นที่จะทำให้มันทำงานได้"
จากโปรแกรมเล็กๆ มันค่อยๆ ขยายตัว เมื่อเขาต้องการเก็บไฟล์ลงดิสก์ เขาต้องเขียน Driver เอง เมื่อเขาต้องการจัดการหน่วยความจำ เขาต้องเขียนระบบ Memory Management เอง... รู้ตัวอีกที สิ่งที่เขาเขียนขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ก็กลายเป็น "Kernel" (หัวใจของระบบปฏิบัติการ) ไปเสียแล้ว [8]
ผลลัพธ์ที่เปลี่ยนโลก
จากโค้ดหมื่นกว่าบรรทัดในวันนั้น วันนี้ Linux กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่มองไม่เห็นแต่ทรงพลังที่สุดในโลก:
- Android: ขับเคลื่อนโทรศัพท์มือถือกว่า 3 พันล้านเครื่อง ทั่วโลก (สถิติจากงาน Google I/O) [4]
- Supercomputers: ระบบปฏิบัติการของซูเปอร์คอมพิวเตอร์ TOP500 ทุกเครื่อง บนโลกใบนี้ รันด้วย Linux ทั้งหมด (ครองสัดส่วน 100% ตั้งแต่ปี 2017) [5]
- Web Servers: เป็นเบื้องหลังของเว็บไซต์ส่วนใหญ่บนอินเทอร์เน็ตที่พวกเราใช้งานกันอยู่ทุกวินาที [6]
ทำไม "ความขาดแคลน" ถึงสร้าง "คนเก่ง"?
กรณีของ Linus และ Linux สอนให้เราเห็นสัจธรรมของการพัฒนาตนเอง:
- ข้อจำกัด บีบให้เราต้องรีดประสิทธิภาพสูงสุด: ความไม่มี (ทางทรัพยากรเครื่องและเงินทุน) บังคับให้ Linus ต้องเขียน Kernel ที่เล็กและเร็ว ซึ่งกลายเป็นรากฐานความสำเร็จในระยะยาว
- เมื่อใช้ "เงิน" แก้ปัญหาไม่ได้ ต้องใช้ "ปัญญา" แทน: เขาไม่มีเงินซื้อระบบมาใช้งาน จึงต้องเรียนรู้ที่จะทำเองทุกอย่างจนเชี่ยวชาญ
- การแบ่งปันสร้างพลังทวีคูณ: เขาเลือกที่จะเปิด Source Code (Open Source) เพื่อระดมสมองจากคนทั่วโลก จนเอาชนะบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีเงินทุนมหาศาลได้
ข้อคิดสำหรับผู้ที่ยังรู้สึก “ขาดแคลน”
“ความไม่มี” ที่นี่ไม่ใช่คำตัดสินความล้มเหลว แต่เป็นสภาวะที่สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสได้ หากมองให้เป็นแรงผลักดัน:
- เริ่มจากปัญหาเล็ก ๆ ที่คุณเผชิญในตอนนี้ อย่ารอให้มีเครื่องมือหรือทุนสมบูรณ์ก่อนลงมือทำ
- ฝึกคิดแบบจำกัดทรัพยากร — ถามตัวเองเสมอว่า “ถ้าไม่มีทางเลือกนี้ ผมจะทำอย่างไรให้ได้ผลลัพธ์เดียวกัน”
- แชร์งานและรับฟัง — เปิดรับความเห็นจากผู้อื่น เพราะการร่วมแรงกันมักได้ผลลัพธ์ที่ทวีคูณ
บทสรุป
คำว่า "ความขาดแคลนทำให้คนเก่งขึ้น" ไม่ได้หมายความว่าเราต้องยอมจำนนต่อความลำบาก แต่หมายความว่า "สภาวะที่ขาดแคลนตัวช่วย" มักจะเป็นแรงผลักดันที่ดีที่สุดให้มนุษย์ดึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ออกมาใช้
ดังนั้น หากวันนี้คุณรู้สึกว่าตัวเองขาดแคลนต้นทุน ขาดแคลนเครื่องมือ หรือขาดแคลนโอกาส ขอให้มองดูโทรศัพท์ Android ในมือ แล้วระลึกไว้เสมอว่า... รากฐานของมัน สร้างมาจากคนที่ "ไม่มี" เหมือนกันกับคุณ
เรื่องราวที่ถูกซ่อน
ประโยค “ความไม่มีทำให้คนเก่งขึ้น” ในกรณีของ Linus Torvalds และ Linux มีทั้งส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง และส่วนที่เป็นวาทกรรม หากมองอย่างเป็นระบบ จะต้องแยกออกจากกันชัดเจน
สรุปก่อน
- ไม่ใช่เรื่องแต่ง: ความขาดแคลนมีบทบาทจริงในการ “กำหนดทิศทาง” และ “บีบให้เกิดการเรียนรู้เชิงลึก”
- แต่เป็นวาทกรรมถ้าใช้แบบเหมารวม: ความไม่มี ไม่ได้ ทำให้คนเก่งขึ้นโดยอัตโนมัติ และในหลายกรณีมันทำให้คนไปไม่ถึงศักยภาพด้วยซ้ำ
กรณี Linux คือ ตัวอย่างพิเศษ ไม่ใช่กฎทั่วไป
1. อะไรคือ “ข้อเท็จจริง” ในกรณี Linus Torvalds
1.1 ความขาดแคลนมีอยู่จริง
นี่คือข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์:
- UNIX ราคาแพงเกินเอื้อมสำหรับนักศึกษา
- MINIX ถูกจำกัดด้านสถาปัตยกรรมและลิขสิทธิ์
- ฮาร์ดแวร์จำกัดมาก (386, RAM หลัก MB)
สิ่งเหล่านี้ บังคับให้ Linus ต้องเขียนเอง และต้องเขียนให้มีประสิทธิภาพสูง
ถ้าเขามีเงินซื้อ UNIX ตั้งแต่แรก
Linux อาจไม่เคยเกิด
จุดนี้เป็น ความจริงเชิงเหตุและผล
1.2 ข้อจำกัด “บีบให้รู้ลึก”
Linux รุ่นแรกไม่ได้ “สวย” หรือ “ใช้ง่าย”
แต่มัน:
- เข้าใจฮาร์ดแวร์ลึก
- ทำงานตรงไปตรงมา
- ไม่มี overhead เกินจำเป็น
นี่คือผลลัพธ์ของการพัฒนาในสภาพแวดล้อมที่:
- ไม่มีเงิน
- ไม่มีทีม
- ไม่มีเครื่องมือหรู
ดังนั้น ความขาดแคลน มีผลต่อคุณภาพเชิงวิศวกรรมจริง
2. แล้วอะไรคือ “วาทกรรม” ที่ถูกแต่งเติมเข้าไป
2.1 ความไม่มี ≠ ความอัจฉริยะ
สิ่งที่ถูกเล่าเกินจริงคือการสรุปว่า:
“เพราะจน เลยเก่ง”
ในความเป็นจริง Linus:
- มาจากครอบครัวชนชั้นกลาง
- แม่เป็นนักข่าว พ่อเป็นนักการเมือง
- ได้เข้าถึงคอมพิวเตอร์ตั้งแต่เด็ก (ซึ่งคนจนจริง ๆ ในยุคนั้นเข้าไม่ถึง)
- อยู่ในประเทศที่มีระบบการศึกษาคุณภาพสูง
เขา ไม่ได้จนในเชิงโครงสร้าง หรือตั้งแต่แรก
เขาแค่ ขาดเงินซื้อซอฟต์แวร์เชิงพาณิชย์
นี่เป็นความแตกต่างที่สำคัญมาก
2.2 Survivorship Bias อย่างชัดเจน
เรารู้จัก Linus เพราะเขา “รอดและชนะ”
แต่ในยุคเดียวกัน:
- มีนักศึกษาจนอีกนับล้าน
- มีคนที่เขียน OS แล้วล้มเหลวอีกจำนวนมาก
- มีคนที่ความจน “ฆ่าโอกาส” ไปเลย
เรื่องเล่ามักเลือกเฉพาะผู้ชนะมาบอกว่า
“เห็นไหม ความจนทำให้เก่ง”
นี่คือ Survivorship Bias แบบตำราเรียน
Survivorship bias (อคติการรอดชีวิต) คือ ความเอนเอียงทางความคิดที่เกิดจากการที่เรา สนใจเฉพาะข้อมูลของ "ผู้ที่อยู่รอด" หรือ "ผู้ที่ประสบความสำเร็จ" จากกระบวนการคัดกรองบางอย่าง และ มองข้าม "ผู้ที่ล้มเหลว" หรือ "ผู้ที่ไม่ได้อยู่รอด" ไป ทำให้ได้ข้อสรุปที่ผิดเพี้ยน มองโลกในแง่ดีเกินจริง หรือคิดว่าความสำเร็จมาจากปัจจัยที่เจาะจง ทั้งที่จริงแล้วมีปัจจัยอื่น ๆ หรือความล้มเหลวอีกมากที่ไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา
3. งานวิจัยพูดว่าอย่างไร (ไม่ใช่ความรู้สึก)
งานวิจัยด้านเศรษฐศาสตร์และจิตวิทยาพบว่า:
-
ความขาดแคลนระดับอ่อน–กลาง
→ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์และการแก้ปัญหา
-
ความขาดแคลนรุนแรงและยาวนาน
→ ลด cognitive capacity, เพิ่มความเครียด, ทำให้คิดระยะสั้น
กล่าวคือ:
ความขาดแคลน “กระตุ้น” ได้
แต่ความจน “กดทับ” ได้เช่นกัน
Linus อยู่ในกรณีแรก ไม่ใช่กรณีหลัง
4. ประโยคที่ “ชัด” และตรงไปตรงมากว่า
แทนที่จะพูดว่า
“ความจนทำให้คนเก่งขึ้น”
ความจริงควรพูดว่า:
“ข้อจำกัดที่ยังไม่ทำลายความสามารถพื้นฐาน จะบีบให้บางคนดึงศักยภาพออกมาได้สูงกว่าปกติ”
Linux เกิดจาก:
- ข้อจำกัด (จริง)
- ความสามารถสูงมาก (จริง)
- สภาพแวดล้อมที่เอื้อให้ลองผิดลองถูก (จริง)
- โอกาสในการเผยแพร่ผลงาน (จริง)
ไม่ใช่จาก “ความจนล้วน ๆ”
5. บทสรุปตรงไปตรงมา
- เรื่อง Linux ไม่ใช่เรื่องแต่ง
- แต่การสรุปว่า “ความจนทำให้คนเก่งขึ้น” เป็น วาทกรรมที่เรียบง่ายเกินจริง
- ความขาดแคลนเป็น ตัวเร่ง ไม่ใช่ ต้นเหตุของอัจฉริยะ
- คนเก่งไม่จำเป็นต้องจน และคนจนไม่จำเป็นต้องเก่งขึ้น
- ข้อจำกัดไม่สร้างอัจฉริยะ แต่สามารถบีบให้อัจฉริยะต้องลงมือทำ
- เมื่อไม่มีทางลัด คนที่มีพื้นฐานและความมุ่งมั่นจะถูกบังคับให้คิดลึกและทำจริง
- นวัตกรรมมักเกิดจากการแก้ปัญหาตรงหน้า ภายใต้ทรัพยากรที่ไม่สมบูรณ์
ถ้าจะใช้เรื่องนี้เป็นบทเรียนที่ไม่บิดเบือน ควรใช้ว่า:
“ไม่ใช่ความจนที่สร้างความเก่ง แต่เป็น ‘ข้อจำกัด’ ที่เมื่อผสานกับความสามารถ ความตั้งใจ และสภาพแวดล้อมที่เปิดโอกาส จะทำให้ศักยภาพของมนุษย์ถูกดึงออกมาได้สูงสุด”
แหล่งอ้างอิง - References
- [1] ประวัติช่วงเริ่มต้น: หนังสือ "Just for Fun: The Story of an Accidental Revolutionary" โดย Linus Torvalds และ David Diamond
- [2] ขนาดของ Code: Linux Kernel Archives ระบุว่าเวอร์ชัน 0.01 มีขนาดไฟล์ที่เล็กมากและมีจำนวนบรรทัดประมาณ 10,239 lines (รวม comment)
- [3] อีเมลต้นฉบับ: Google Groups Archive: comp.os.minix - "What would you like to see most in minix?"
- [4] สถิติ Android: The Verge: There are now over 3 billion active Android devices
- [5] สถิติ Supercomputer: TOP500.org: List Statistics
- [6] สถิติ Web Server: W3Techs: Usage statistics of operating systems for websites
- [7] สเปกคอมพิวเตอร์: หนังสือ "Just for Fun" โดย Linus Torvalds - เขาระบุว่าซื้อเครื่อง 386 สีเทา ด้วยเงินเก็บและเงินกู้ยืม
- [8] วิวัฒนาการ: บทสัมภาษณ์ Linus ใน TED Talk 2016: The mind behind Linux

